ความสัมพันธ์ไทย
– โปรตุเกส

ในช่วงเริ่มต้น
โปรตุเกสเข้ามาดินแดนแถบนี้ ด้วยเรือสำเภา ที่เรียกว่า เนา (Nao/Nau) หรือ เรือแกลเลียน (Galleon) จุดมุ่งหมายสำคัญ คือ
การตามหาเครื่องเทศ แต่ก็มิใช่เพียงการค้าเพียงอย่างเดียว ในด้านการเดินทางนี้
ก็ถูกรองรับด้วยเหตุผลทางศาสนาด้วย ในยุคที่มีการล่าอาณานิคมอย่างต่อเนื่อง
ปีค.ศ.1511 กองทัพเรือโปรตุเกสต้องการยึดครองมะละกาด้วยความมั่งคั่งของมะละกาและความต้องการที่จะขยายผลทางการค้า
หลังจากโปรตุเกสได้ขยายอำนาจมาถึงมะละกาซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยามาก่อน
โปรตุเกสเกรงจะเกิดปัญหาบาดหมางในภายหลังและหวังจะกดดันมะละกาจึงได้ส่งราชทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรรอบข้าง
Alfoso d'Alboquerque อุปราชโปรตุเกสประจำภาคตะวันออกได้ส่งทูตคนแรกคือ
Duarte Fernandez เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรีกับพระมหากษัตริย์ไทยซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่
2 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าการเข้ามายังสยามนั้นมิได้มีเจตนาจะเป็นปฏิปักษ์
และโปรตุเกสก็เริ่มต้นขึ้นและงอกงามมีชาวโปรตุเกสหลายคนเลือกมาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินสยาม
พวกเขาเริ่มตั้งรกรากที่กรุงศรีอยุธยาโดยชาวโปรตุเกสที่เข้ามานั้นมีทั้งคนที่มีทักษะทางการค้า
มีทักษะด้านการทหาร และมีบางคนที่ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนา
เข้ามาช่วยเหลือชุมชนชาวคริสต์ ต่อมาสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่
13 แห่งกรุงศรีอยุธยาได้พระราชทานที่ดินแก่ชาวโปรตุเกสที่อาศัยอยู่ในพระนครศรีอยุธยาซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า
"บ้านโปรตุเกส"
สมัยกรุงธนบุรี
หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในปี2310 ชาวยุโรปจำนวนมากได้หนีไปยังกัมพูชา
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้สถาปนากรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรขึ้นในปีพุทธศักราช2313
บาทหลวงกอร์ชาวฝรั่งเศสได้นำชาวยุโรปที่หนีไปยังกัมพูชาครั้งกรุงแตกมาเข้าเฝ้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
พระเจ้ากรุงธนบุรีต้อนรับเป็นอย่างดีและได้ยกที่ดินสร้างวัดซางตาครู้ส
……….
ในสมัยกรุงธนบุรี
ชาวโปรตุเกสมีเมืองขึ้นบริเวณแถบเมืองกัว เมืองสุรัต
และได้ทำการติดต่อค้าข้ายสินค้าจำพวกปืนไป เกราะทหาร
สินค้าทันสมัยของตะวันตกและของอินเดียตะวันตก เมื่อมีคณะพ่อค้าโปรตุเกสจากเมืองกัว
เมืองสุรัต มาค้าขายที่กรุงธนบุรี ทางการไทยก็ได้มีการแต่งสำเภาหลวงไปค้าขายถึงเขตเมืองกัวเมืองสุรัต
โดยนำเอาของป่าพวกไม่กฤษนา ไม้ฝาง งาช้าง เขา-หนังสัตว์ไปค้าขายด้วย


15 ปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เมื่อวันที่ 6 เมษายน พุทธศักราช 2325 พระราชทานนามของพระนครหลวงว่า
"กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ
นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมารอวตารสถิต สักกะทัตติยะ
วิษณุกรรมประสิทธิ์” มีความหมายโดยรวมว่า
"เมืองเเห่งเทวดา"
ชาวสยามยุคนั้นไม่สนใจการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกนัก
เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับ ชาวอังกฤษไม่พอใจที่สยามมีการหักภาษี
จึงส่งนายจอห์น
ครอว์เฟิร์ดทำให้มาขอทำสัญญาพยายามให้ไทยยกเลิกการผูกขาดของพระคลังสินค้า
แต่ทางเราปฏิเสธกลับไป จนกระทั่งโปรตุเกสได้ส่งทูตชื่อ อันโตนิโอ เดอ วีเสนท์ (Antonio de Veesent) คนทั่วไป
เรียกว่า “องตนวีเสน” เป็นอัญเชิญพระราชสาสน์กษัตริย์โปรตุเกสจากกรุงลิสบอนมายังสยาม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้การต้อนรับและทรงให้อันโตนิโอเข้าเฝ้า
ทางการสยามได้มีพระราชสาสน์ตอบมอบให้อันโตนีโอเป็นผู้อัญเชิญกลับไป
ในสมัยล้นเกล้ารัชการที่ 2 ความสัมพันธ์กับโปรตุเกสรุ่งเรืองอย่างมาก
ได้มีการส่งเรือกำปั่นชื่อ มาลาพระนคร
โดยมีหลวงสุรสาครเป็นนายเรืองคุมเรือออกไปค้าขายกับโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า
และมีการเจริญสัมพันธไมตรี ซึ่งชาวสยามก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้การ์ลูส
มานูเอล ดา ซิลเวย์รานำเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาสน์ของกษัตริย์โปรตุเกสมาถวายล้นเกล้ารัชกาลที่
2 เพื่อขอเจริญสัมพันธไมตรี ไทยก็ให้การต้อนรับอย่างดี
เพราะเห็นว่าโปรตุเกสช่วยอำนวยความสะดวกแก่เรือกำปั่นหลวงที่เดินทางไปค้าขายที่มาเก๊าในครั้งก่อน
รวมทั้งไทยยังต้องการซื้อปืนคาบศิลาจากโปรตุเกสเอาไว้ใช้ป้องกันพระนครด้วยจึงยินดีที่จะเป็นมิตรกับโปรตุเกส
ทางโปรตุเกสก็ได้จัดซื้อให้ถึง 400 กระบอก
ปีพุทธศักราช
2363 ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกส
ณ เมืองกัว ในอินเดีย ได้ร่างสัญญาทางพระราชไมตรีในนามของกษัตริย์โปรตุเกส
มอบให้การ์ลูส มานูเอล ดา ซิลเวย์ราเข้ามาถวาย โดยใจความขอให้ การ์ลูส มานูเอล
ดาซิลเวียรา เป็นกงสุลโปรตุเกสประจำกรุงเทพมหานคร ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ พระราชทานตามที่ขอ พร้อมแต่งตั้งให้ซิลเวย์รามีบรรดาศักดิ์เป็น
“หลวงอภัยพาณิช”หลังจากที่ล้นเกล้ารัชกาลที่
2ได้มีพระราชานุญาติให้ตั้งสถานกงสุลโปรตุเกสขึ้นในไทย
มีการปักธงโปรตุเกสที่กงสุล ต่อมาภายหลังสถานกงสุลนี้ได้รับฐานะเป็นสถานทูต
นับเป็นสถานทูตต่างชาติแห่งแรกในไทย
ตลอดรัชกาลที่
3 ก็ยังคงเป็นความสัมพันธ์ทางการฑูตและการติดต่อค้าขาย
ซึ่งก็มีปริมาณการค้าไม่มากนักเนื่องจากค้าขายขาดทุนที่ทำการค้าสู้อังกฤษไม่ได้
แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีเรื่อยมา
รัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์
มีพระราชประสงค์จะทำสนธิสัญญากับโปรตุเกส
เพื่อสถาปนาสัมพันธ์ไมตรีและการค้าที่ขาดตอนไป
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี ค.ศ.
1897 พระองค์เสด็จประพาสยุโรป และได้เสด็จฯ เยือนกรุงลิสบอน
ประเทศโปรตุเกส
ต่อมาในปี
ค.ศ. 1960 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประพาส
ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
หลักฐานที่ค้นพบเกี่ยวกับชาวโปรตุเกส
หมู่บ้านโปรตุเกส
หมู่บ้านโปรตุเกส
ได้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2083 ตามพระราชโองการของพระไชยราชาธิราช
พระราชทานที่ดินให้ตั้งหมู่บ้านขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยานอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้
เพื่อเป็นบำเหน็จความดีความชอบของชาวโปรตุเกส จำนวน 120 คน ที่เข้ารับราชการเป็นทหารอาสาเข้าร่วมรบในสงครามเมืองเชียงกรานจนได้รับชัยชนะ
ชาวโปรตุเกสได้สร้างโบสถ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาในนิกายโรมันคาทอลิก จำนวน 3
แห่งด้วยกัน ได้แก่ 1.โบสถ์คณะโดมินิกัน 2.โบสถ์คณะยูเซอิต 3.โบสถ์คณะฟรานซิสกัน
หมู่บ้านชาวโปรตุเกสที่พระนครศรีอยุธยา มีอายุได้ 227 ปี จึงได้ถูกทิ้งร้างไปพร้อมๆ กับพระนครศรีอยุธยาถูกพม่าทำลาย เมื่อ พ.ศ. 2310 ในปี พ.ศ. 2527 มูลนิธิกุลเบงเกียน (FUNDAçÃO CALOUSTE GULBENKIAN) ประเทศโปรตุเกส ได้มอบทุนจำนวนหนึ่งให้กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง บูรณะ ปรับปรุงโบราณสถาน ณ หมู่บ้านโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หมู่บ้านชาวโปรตุเกสที่พระนครศรีอยุธยา มีอายุได้ 227 ปี จึงได้ถูกทิ้งร้างไปพร้อมๆ กับพระนครศรีอยุธยาถูกพม่าทำลาย เมื่อ พ.ศ. 2310 ในปี พ.ศ. 2527 มูลนิธิกุลเบงเกียน (FUNDAçÃO CALOUSTE GULBENKIAN) ประเทศโปรตุเกส ได้มอบทุนจำนวนหนึ่งให้กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง บูรณะ ปรับปรุงโบราณสถาน ณ หมู่บ้านโปรตุเกส ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลักฐานที่ได้จากการขุดแต่ง
จากการขุดแต่งโบราณสถานบ้านนักบุญเปโตร (โบสถ์คณะโดมินิกัน) พบหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น โบราณวัตถุ พบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากมาย นอนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและไม่เป็นระเบียบ โดยถูกฝังสลับซับซ้อนกันอย่างหนาแน่นในชั้นดินที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ไม่ต่ำกว่า 200 โครง จึงไม่อาจจะปฏิเสธถึงความเป็นสุสานของโบสถ์โดมินิกันแห่งนี้ได้
จากการขุดแต่งโบราณสถานบ้านนักบุญเปโตร (โบสถ์คณะโดมินิกัน) พบหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมในสมัยนั้น โบราณวัตถุ พบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากมาย นอนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและไม่เป็นระเบียบ โดยถูกฝังสลับซับซ้อนกันอย่างหนาแน่นในชั้นดินที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ไม่ต่ำกว่า 200 โครง จึงไม่อาจจะปฏิเสธถึงความเป็นสุสานของโบสถ์โดมินิกันแห่งนี้ได้
สภาพโครงกระดูกในหลุมขุดค้น
สุสานและสถานภาพของผู้ตาย
จากลักษณะของการฝังศพ อาจพอสรุปได้ว่าขอบเขตที่ฝังศพและสถานภาพของผู้ตาย สรุปได้ดังนี้คือ
ตอนที่ 1 เป็นตอนที่อยู่ในสุด ฝังอยู่ในแนวเดียวกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก หรือหันศีรษะเข้าสู่แท่นที่ประดิษฐ์รูปเคารพภายในโบสถ์ จากลักษณะดังกล่าว สันนิษฐานว่าโครงกระดูกเหล่านี้เป็นของบาทหลวงหรือนักบวชที่เสียชีวิตในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน จากการสัมภาษณ์บาทหลวงในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ให้ข้อสังเกตที่พอจะสรุปฐานะของโครงกระดูกว่าเป็นโครงกระดูกของบาทหลวง โดยให้เหตุผลว่า ศพของบาทหลวงจะถูกฝังอยู่ในลักษณะเดิมที่เคยปฏิบัติอยู่สมัยเมื่อยังมีชีวิต บาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ที่หน้าพระแท่น ย่อมต้องยืนหันหน้าออกสู่พวกสัตตบุรุษเสมอ เมื่อเสียชีวิตจะถูกฝังในลักษณะที่หันหน้าสู่สัตตบุรุษเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 2 อยู่ถัดมาจากส่วนที่ใช้สำหรับฝังศพบาทหลวงมาทางทิศตะวันออก การฝังศพในส่วนนี้มีการกำหนดขอบเขตที่แน่นอน ด้วยการนำอิฐขนาดใหญ่และหนากว่าอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างมาวางเรียงกันเป็นกรอบโดยรอบ เพื่อแสดงขอบเขตการฝังที่แน่นอน แม้จะพบต่อมาภายหลังว่ามีการฝังทับซ้อนกันในบริเวณเดียวกันก็ตาม ศพที่ถูกฝังอยู่ในส่วนนี้อาจจะเป็นศพที่มีฐานะในสังคมของชาวค่ายโปรตุเกสสูงกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป
จากลักษณะของการฝังศพ อาจพอสรุปได้ว่าขอบเขตที่ฝังศพและสถานภาพของผู้ตาย สรุปได้ดังนี้คือ
ตอนที่ 1 เป็นตอนที่อยู่ในสุด ฝังอยู่ในแนวเดียวกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก หรือหันศีรษะเข้าสู่แท่นที่ประดิษฐ์รูปเคารพภายในโบสถ์ จากลักษณะดังกล่าว สันนิษฐานว่าโครงกระดูกเหล่านี้เป็นของบาทหลวงหรือนักบวชที่เสียชีวิตในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน จากการสัมภาษณ์บาทหลวงในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ให้ข้อสังเกตที่พอจะสรุปฐานะของโครงกระดูกว่าเป็นโครงกระดูกของบาทหลวง โดยให้เหตุผลว่า ศพของบาทหลวงจะถูกฝังอยู่ในลักษณะเดิมที่เคยปฏิบัติอยู่สมัยเมื่อยังมีชีวิต บาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ที่หน้าพระแท่น ย่อมต้องยืนหันหน้าออกสู่พวกสัตตบุรุษเสมอ เมื่อเสียชีวิตจะถูกฝังในลักษณะที่หันหน้าสู่สัตตบุรุษเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 2 อยู่ถัดมาจากส่วนที่ใช้สำหรับฝังศพบาทหลวงมาทางทิศตะวันออก การฝังศพในส่วนนี้มีการกำหนดขอบเขตที่แน่นอน ด้วยการนำอิฐขนาดใหญ่และหนากว่าอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างมาวางเรียงกันเป็นกรอบโดยรอบ เพื่อแสดงขอบเขตการฝังที่แน่นอน แม้จะพบต่อมาภายหลังว่ามีการฝังทับซ้อนกันในบริเวณเดียวกันก็ตาม ศพที่ถูกฝังอยู่ในส่วนนี้อาจจะเป็นศพที่มีฐานะในสังคมของชาวค่ายโปรตุเกสสูงกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป
ตอนที่ 3 คือส่วนที่อยู่นอกไปจากแนวฐานของโบสถ์
พบว่ามีการฝังทับซ้อนกันมากจนผิดปกติ บางหลุมแสดงให้เห็นว่ามีการฝังซ้อนกัน 3
– 4 โครง ในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้จากการขุดค้นพบว่ามีชิ้นส่วนโครงกระดูกที่ถูกขุดขึ้นมาทับถมไว้กับโครงที่เพิ่งฝังลงไปทีหลังด้วย
สภาพโครงกระดูกหมายเลข
152 ซึ่งบรรจุอยู่ในโลงปูนขาว
หลังจากการขุดค้นเสร็จสิ้นลง
พบว่ามีโครงกระดูกที่ถูกฝังอยู่ในบริเวณสุสานแห่งนี้มากกว่า 200 โครง
และมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ศพถูกฝังในเวลาที่ใกล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว
เพราะในบางหลุมพบโครงกระดูกฝังซ้อนกันถึง 3 – 4 โครง
มีอะไรเกิดขึ้นกับชาวโปรตุเกสในเวลานั้น
จนทำให้จำนวนชาวค่ายโปรตุเกสลดลงอย่างรวดเร็ว
ศพแล้วศพเล่าที่ถูกฝังลงในสุสานแห่งนี้ ความตายของชาวค่ายโปรตุเกสในเวลานั้นสอดคล้องกับจดหมายของบาทหลวงปิ่นโตและพงศาวดารไทยที่กล่าวว่า
ในปลายปี พ.ศ. 2239 ได้เกิดโรคระบาด (ไข้ทรพิษ)
อย่างร้ายแรงในพระนครศรีอยุธยา โดยมีอัตราการตายโดยเฉลี่ย 42 ศพ ต่อวัน จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ชาวค่ายโปรตุเกสคงจะหลีกเลี่ยงการระบาดไม่พ้นเช่นกัน
เพราะจากการขุดค้นพบว่ามีการใส่ปูนขาวพอกทับบนศพด้วย เพราะเชื่อกันว่า
ปูนขาวนี้ช่วยระงับการแพร่เชื้อของโรคระบาดได้
อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางเอกสารนั้น ไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ว่า
ชาวค่ายโปรตุเกสตายด้วยโรคระบาดในครั้งนั้นด้วยหรือไม่
จนกว่าจะนำโครงกระดูกเหล่านั้นมาทำการวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการเพื่อจะได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง
บุคคลสำคัญชาวโปรตุเกส

1. โดมินโกส เดอ
ซีซาส
โดมินโกส เดอ ซีซาส
คนนี้มาจากตระกูลผู้ดีในโปรตุเกส แต่สันนิษฐานว่าเขาอาจจะเป็นบุตรคนรอง
ซึ่งตามประเพณีของยุโรปนั้นเขาจะไม่ได้รับการสืบทอดตำแหน่งของครอบครัวรวมทั้งมรดกด้วย
คงด้วยเหตุดังนี้ทำให้เขาเดินทางออกมาแสวงโชคในเอเชีย
พ.ศ. ๒๐๖๖ (ค.ศ. ๑๕๒๓)
เขาก็เดินทางมาเป็นพ่อค้าโดยการทำการค้าที่เมืองมะริดของสยามโดยการซื้อข้าวแล้วส่งไปขายยังเมืองปาไซ
บนเกาะสุมาตรา ในขณะนั้นบังเอิญมีเรือโจรสลัดโปรตุเกสลำหนึ่งเข้าปล้นสะดมเรือของเจ้าเมืองตะนาวศรี
ซึ่งเป็นเมืองใกล้เคียงกัน
การปล้นครั้งนั้นสร้างความโกรธแค้นกับออกญาตะนาวศรีเป็นอย่างมาก
จึงออกคำสั่งให้จับกุมตัวชาวโปรตุเกสที่อยู่ทั้งในเมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดขณะนั้นเอาไว้ให้หมด
ซึ่งในจำนวนนี้มีนายซีซาส และชาวโปรตุเกสอีก ๑๗ ถูกจับตัวเอาไว้
เมื่อจับกุมแล้ว
จะมีการสืบสวนสอบสวนกันอย่างไรหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ที่แน่ๆ
คือเจ้าเมืองตะนาวศรีก็ไม่กล้าตัดสินประหารด้วยตัวเอง
ทั้งนี้เพราะรู้อยู่ว่าทางส่วนกลางคืออยุธยานั้นมีความสัมพันธ์
ที่ดียิ่งกับโปรตุเกส
และที่สำคัญหากทำอะไรลงไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังอาจส่งผลให้โปรตุเกสเข้ามาเอาเรื่องได้ง่ายๆ
ออกญาตะนาวศรีเลยจัดการส่งบรรดาคนโทษเหล่านี้เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
เมื่อมาถึงอยุธยาแล้ว
จะสืบเสาะสอบสวนกันอย่างไรแน่นั้นไม่ชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏก็คือ คนเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วจะมีความรู้และความเข้าใจ
ในวิทยาการการสงครามรุ่นใหม่โดยเฉพาะมีความรู้ในวิชาการใช้ปืนไฟของโปรตุเกสอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้อย่างเก่งแล้วอยุธยามีใช้ก็แค่ปืนใหญ่ที่ใช้วิธีผลิตแบบจีนเท่านั้น
ต่อเมื่อโปรตุเกส เข้ามาแล้วเลยเริ่มรู้และเห็นประสิทธิภาพของปืนไฟ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ จึงทรงตัดสินพระทัยมีโองการ
ให้คนโทษเหล่านี้เข้าประจำในกองทัพเพื่อสอนวิชาการใช้ปืนแก่ไพร่พลสยาม
ที่สำคัญมีเบี้ยหวัดและผลตอบแทนอย่างงามอีกด้วย โดยที่นายซีซาสนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบัญชาการเลยทีเดียว
ดังนั้นนับแต่ปีที่ถูกจับมานายซีซาสก็อาศัยอยู่ในอยุธยามาจนถึงปี
พ.ศ. ๒๐๙๐ (ค.ศ. ๑๕๔๗) คือ๒๕ ปี นายซีซาสเข้ารับราชการในกองอาสาโปรตุเกสของสยามนับแต่รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๒ กระทั่งถึงสมัยของสมเด็จพระไชยราชาธิราช
ผลงานครั้งสำคัญและได้รับการบันทึกเอาไว้ปรากฏในงานเขียนของนาย เฟอร์เนา แมนเดส
ปินโต ซึ่งเป็นทั้งนักเดินทาง ทหารรับจ้างในเอเชีย และนักเขียนบันทึกคนสำคัญ ใน
พ.ศ. ๒๐๙๑ (ค.ศ. ๑๕๔๘) เมื่อเขาเดินทางมาสยามนั้น
คราวที่พระไชยราชากษัตริย์สยามได้รวบรวมยกพลไปตีกรุงศรีสัตนาคณหุต เมื่อปี พ.ศ.
๒๐๘๘ (ค.ศ. ๑๕๔๕) ก็มีทหารรับจ้างโปรตุเกสไปร่วม
รบด้วย ๑๖๐ คน
ซึ่งรวมถึงนายซีซาสด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๘๙ (ค.ศ. ๑๕๔๖)
พระไชยราชาต้องการจะรบกับเชียงใหม่
จึงได้ส่งออกญากลาโหมไปยังหมู่บ้านโปรตุเกสเพื่อหาอาสาสมัครไปรบในฐานะ
กองทหารองค์รักษ์
โดยสัญญาจะให้ผลตอบแทนอย่างงาม และจะอนุญาตให้ชาวโปรตุเกสสร้างศาสนสถานได้
ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่จึงตกลงเข้าช่วยพระไชยราชา และทำให้พระองค์รบชนะกษัตริย์เชียงใหม่
แต่เมื่อกลับมาจากการบกลับถูกวางยาพิษสิ้นพระชนม์ กล่าวกันว่านายซีซาสเดินทางกลับโปรตุเกส
และถึงแก่กรรมอย่างสงบในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของลิสบอน
ก่อนที่จะถึงแก่กรรมเขาได้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดในสยามให้แก่ โจเอา เดอ บาร์โรส
นักพงศาวดารคนสำคัญด้วย
2. ท้าวทองกีบม้า (มารี กีมาร์ เดอ ปีนา)

ท้าวทองกีบม้าคนนี้เกิดที่กรุงศรีอยุธยา
ชื่อจริงว่า ดอนญ่า มารี กีมาร์ เดอปิน่า (ดอนญ่า ในภาษาสเปนหรือโปรตุเกส แปลว่า
คุณหญิง) หรือตองกีมาร์ (Tanquimar) เป็นลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น และเบงกอลโดยมารดาของท้าวทองกีบม้าชื่อ
เอิลร์สุลา ยามาดา (Ursula Yamada) หรือหนังสือบางเล่มเรียกว่า เออร์ซูลา ยามาดะ
ซึ่งมีเชื้อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพลี้ภัยทางศาสนาเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
ส่วนบิดาชื่อ ฟานิก
กูโยมา (Phanick
Guimar หรือ Fanik Guyomar) ที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอลและโปรตุเกสจากอาณานิคมกัว (ปัจจุบันคือรัฐกัว ประเทศอินเดีย)
มารีกีมาร์แต่งงานกับคอนสแตนติน ฟอลคอนชาวกรีกที่เข้า
มารับราชการ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนเป็นที่โปรดปราน
ได้รับแต่งตั้งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ฟอลคอนยกย่องเธอในฐานะภรรยาเอก
หลังการแต่งงานฟอลคอนก็ได้เป็นผู้ควบุคมการก่อสร้างป้อมแบบยุโรปในกรุงศรีอยุธยา
และบางกอก
ต่อมาเมื่อออกญาโกษาธิบดี
(เหล็ก) ถึงแก่กรรม ออกญาพระเสด็จซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งออกญาโกษาธิบดีแทนก็เลื่อนตำแหน่งให้เขาขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ช่วยและยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นออกพระฤทธิ์กำแหง
ตำแหน่งนี้ทำให้ฟอลคอนร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เพราะประกอบการค้าส่วนตัวควบคู่ไปกับราชการด้วย
ท้าวทองกีบม้าจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายหรูหราอย่างหาผู้ใดในกรุงศรีอยุธยาเปรียบเทียบไม่ได้
การเป็นภรรยาของขุนนางที่มีตำแหน่งสูง ทั้งยังต้องติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างประเทศเสมอ ทำให้ท้าวทองกีบม้าต้องพบปะเจอะเจอแขกที่เดินทางมาในฐานะราชอาคันตุกะ
ปีที่ ๖ ของการเข้ารับราชการ ฟอลคอนได้รับตำแหน่งหน้าที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยได้เป็นสมุหนายกอัครมหาเสนาบดีแต่ด้วยความคิดมิชอบฟอลคอลที่ติดต่อกับฝรั่งเศสเป็นการลับให้ยึดสยามเป็นอาณานิคมจึงถูกกลุ่มของพระเพทราชาและออกหลวงสรศักดิ์จับในข้อหากบฏ เรียกตำแหน่งคืน ริบทรัพย์ และถูกประหารชีวิต เล่ากันว่า ก่อนขึ้นตะแลงแกงฟอลคอนได้รับอนุญาตให้ไปอำลาลูกเมียที่บ้าน
ปีที่ ๖ ของการเข้ารับราชการ ฟอลคอนได้รับตำแหน่งหน้าที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยได้เป็นสมุหนายกอัครมหาเสนาบดีแต่ด้วยความคิดมิชอบฟอลคอลที่ติดต่อกับฝรั่งเศสเป็นการลับให้ยึดสยามเป็นอาณานิคมจึงถูกกลุ่มของพระเพทราชาและออกหลวงสรศักดิ์จับในข้อหากบฏ เรียกตำแหน่งคืน ริบทรัพย์ และถูกประหารชีวิต เล่ากันว่า ก่อนขึ้นตะแลงแกงฟอลคอนได้รับอนุญาตให้ไปอำลาลูกเมียที่บ้าน
แต่ด้วยความเกลียดชัง ท้าวทองกีบม้าซึ่งถูกจองจำอยู่ในคอกม้าถึงกลับถ่มน้ำลายรดหน้า และไม่ยอมพูดจาด้วย ต่อมาเธอถูกนำตัวกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ท้าวทองกีบม้าถูกส่งตัวเข้าไปเป็นคนรับใช้ในพระราชวัง ออกหลวงสรศักดิ์ที่มีความพึงพอใจเธออยู่เป็นทุนเดิมต้องการได้เธอเป็นภรรยาน้อย แต่เธอไม่ยินยอม ทำให้ออกหลวงสรศักดิ์ไม่พอใจมากออกปากขู่ต่างๆ นานา จนท้าวทองกีบม้าไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ จึงตัดสินใจลอบเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยา โดยติดตามมากับนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ ร้อยโทเซนต์ มารี เพื่อมาอาศัยอยู่กับนายพลเตฟาซจ์ที่ป้อมบางกอกและขอร้องให้ช่วยส่งตัวเธอและลูก ๒ คน ไปยังประเทศฝรั่งเศส แต่นายพลเตฟาช์จไม่ตกลงด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นปัญหาภายหลัง จึงส่งตัวท้าวทองกีบม้าให้แก่ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา กระนั้นเธอก็ยังต้องถูกคุมขังเป็นเวลานาน ๒ ปี หลังการปลดปล่อยเธอได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ทำอาหารหวานประเภทต่างๆ ส่งเข้าไปในพระราชวังตามกำหนด การทำหน้าที่จัดหาอาหารหวานส่งเข้าพระราชวังทำให้ท้าวทองกีบม้าต้องประดิษฐ์คิดค้นขนมประเภทต่างๆ ขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา จากตำรับเดิมของชาติต่างๆ โดยเฉพาะโปรตุเกส ซึ่งเป็น
ชาติกำเนิดของเธอ ท้าวทองกีบม้าได้พัฒนาโดยนำเอาวัสดุดิบพื้นถิ่นที่มีในประเทศสยามเข้ามาผสมผสาน จนทำให้เกิดขนมที่มีรสชาติอร่อยถูกปากขึ้นมามากมาย เมื่อจัดส่งเข้าไปในพระราชวังก็ได้รับความชื่นชมมาก ถึงขนาดถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการในพระราชวังในตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น มีหน้าที่ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวงเป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้เสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาถึง ๒,๐๐๐ คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ยกย่องชื่นชม มีเงินคืนท้องพระคลังปีละมากๆ ด้วยนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีเมตตา ทำให้ท้าวทองกีบม้าถ่ายทอดตำรับการปรุงขนมหวานแบบต่างๆ ให้แก่สตรีที่ทำงานใต้บังคับบัญชาของเธอจนเกิดความชำนาญ และสตรีเหล่านี้เมื่อกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ญาติพี่น้องยังบ้านเกิดของตนก็ได้นำตำรับขนมหวานไปเผยแพร่ต่ออีกทอดหนึ่ง จึงทำให้ตำรับขนมหวานที่เคยอยู่ในพระราชวังแผ่ขยายออกสู่ชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็นขนมพื้นบ้านของไทย ชีวิตบั้นปลายของท้าวทองกีบม้าจัดว่ามีความสุขสบายตามสมควร แม้ว่าท้าวทองกีบม้าจะมีกำเนิดเป็นคนต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโตและมีชีวิตอยู่ในประเทศสยามจวบสิ้นอายุขัย แถมยังสร้างสิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่าทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมประเพณีของไทยเอาไว้อย่างมากมายสมกับคำยกย่องกล่าวขานของคนรุ่นหลังที่มอบแด่เธอว่า ราชินีขนมไทย
ชุมชนไทยเชื่อสายโปรตุเกสในปัจจุบัน
1. วัดซางตาครู้ส และชุมชนกุฎีจีนวัดซางตาครู้ส เชิงสะพานพุทธฯ ฝั่งธนบุรี เป็นศูนย์กลางของคริสตังผู้สืบเชื้อสาย ชาวโปรตุเกสเก่าแก่เป็นอันดับ ๒ ของกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ถนนเทศบาล สาย ๑ แขวงวัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี
2. วัดกาลหว่าร์ และชุมชนแม่พระลูกประคำ
วัดกาลหว่าร์
หรือ วัดแม่พระลูกประคำ เป็นวัดในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่เลขที่
๑๓๑๘ ถนนโยธา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของชุมชนชื่อเดียวกัน
3. วัดคอนเซ็ปชัญ และชุมชนบ้านเขมร
3. วัดคอนเซ็ปชัญ และชุมชนบ้านเขมร
วัดคอนเซ็ปชัญ ตั้งอยู่ในซอยมิตรคาม
ถนนสามเสน แขวงวชิระพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ฝั่งพระนคร เชิงสะพานกรุงธนบุรี
สานสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-โปรตุเกส
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
1.ด้านศาสนา การที่โปรตุเกสเข้ามาในประเทศไทยนอกจากที่จะมาค้าขายแล้วยังนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่อีกด้วย
เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี2310 บาทหลวงกอร์ได้นำชาวโปรตุเกสและชาวยุโรปมาเข้าเผ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระองค์ได้พระราชทานให้สร้างโบสถ์ซางตาครู้ส
คริสต์ศาสนาที่เข้ามาในไทยนั้นส่วนใหญ่เป็นโปรตุเกส มีคณะโกมินิกัน ฟรานซิส และ
ซูอิส ในสมัยนั้นไทยไม่ได้กีดกันทางศาสนา นอกจากนี้คณะเผยแพร่ศาสนายังได้นำเอายาจากตะวันตกเข้ามาแพร่หลายในไทยอีกด้วย
2.ด้านอาหาร ไทยเราได้รับวัฒนธรรมอาหารจำพวกของหวานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว
และเป็นที่นิยมจนกระทั่งปัจจุบัน ขนมหวานของไทยที่ได้รับอิทธิพลจาก
วัฒนธรรมโปรตุเกส คือ ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอด บ้าบิ่น ลูกชุบ ขนมผิง ทองม้วน
ขนมหม้อแกง ขนมไข่ กระหรี่ปั๊บ Trouxos das caldas คือ ต้นตำรับของขนม
ทองหยิบ Fios de Ovos คือ ขนมฝอยทอง Queijadas de
Coimbra เป็นต้นตำรับ ขนมบ้าบิ่น ของไทย ซึ่งใช้เนยแข็ง
แต่ในบ้านเราใช้มะพร้าวแทนสำหรับ ลูกชุบ เป็นขนมประจำถิ่นโปรตุเกส
แพร่หลายมาถึงย่านเมดิเตอร์เรเนียนแถบฝรั่งเศสตอนใต้ เช่น เมืองนีซ เมืองคานส์
ก็มีขนมลูกชุบมากมายทั้งเมือง ลูกชุบในภาษาโปรตุเกส Massapa'es โดยโปรตุเกสใช้เม็ด อัลมอนด์ เป็นส่วนผสมสำคัญ แต่บ้านเราไม่มี
จึงต้องคิดด้วยการใช้ ถั่วเขียว เป็นต้น
3.ด้านการทหาร อิทธิพลทางการทหาร
เราได้ซื้ออาวุธชนิดใหม่ๆมากมายมาจากโปรตุเกส อาทิ ปืนไฟ ปืนคาบศิลา
นอกจากนี้เครื่องยศทหารในสมัยรัตโกสินทร์ก็ได้มีการนำเครื่องยศแบบโปรตุเกสมาใช้
ทำให้เครื่องแบบเต็มยศของทหารไทยมีลักษณะแบบเครื่องแบบทหารยุโรป

ขอบคุณแหล่งที่มา
http://prachatai.com/category/.
http://th.wikipedia.org/wiki/.
http://haab.catholic.or.th/history/history01/protuget10.html.